การดูแลเสื้อผ้าและชุดเด็กน้อยให้น่ารัก สดใสเหมือนวันแรกๆ ที่เราซื้อชุดเด็กมาให้ลูกของเรานั้นไม่ง่ายเลย เพราะต้องเจอการใช้งานที่หลากหลาย เสี่ยงต่อการเปื้อนจากคราบสกปรกที่อาจฝังแน่นได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็น คราบอาหาร นม ของเสีย หรือ แม้แต่การขีดเขียนเล่นของลูกน้อยเอง แถมคราบสกปร กบางอย่างก็ฝังแน่นจนไม่อาจซักออกได้ง่ายๆ หากคุณพ่อคุณแม่ซักหรือขยี้แรงๆ ก็กลับกลายเป็นการทำลายเส้นใยผ้าเข้าไปอีก วันนี้เราจึงนำวิธีการถนอมชุดเด็กง่ายๆ ให้ใส่ได้นาน ในไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น
อ่านคำแนะนำและแยกกลุ่มเสื้อผ้าเด็กก่อนซัก
ก่อนอื่นเลยเราควรที่จะแยกประเภทของเสื้อผ้า ชุดเด็กของเราก่อนว่า เหมาะสมกับการซักชนิดใดบ้าง สำหรับเสื้อผ้าบางชนิด ไม่ต้องมีการดูแลอะไรเป็นพิเศษ สามารถทนความร้อน ทนการซักเครื่องได้ แต่ก็มีเสื้อผ้าหลายๆ ชนิดอีกเช่นกันที่ ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเส้นใยผ้าที่บอบบาง หรือ ผ้าที่มีโอกาสสีตกได้ โดยการแบ่งจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
กลุ่มชุดที่ต้องซัก - แช่ทันที
ในระหว่างวัน เสื้อผ้าของเด็กนั้นมีโอกาสเลอะได้ตลอด ไม่ว่าจากการเลอะของ อาหาร ขนม หรือของเสีย ที่ลูกน้อยเราขับถ่ายออกมา อย่างไรก็ตามหากเป็นไปได้เราควรที่จะทำความสะอาดชุดเด็กเหล่านั้นโดยทันที เพราะคราบเหล่านี้หากทิ้งไว้นานจะกลายเป็นคราบฝังแน่นในเนื้อผ้า ที่แม้เราขยี้เท่าไรก็ไม่ออก ดังนั้นจึงควรแบ่งกลุ่มนี้ออกมาเป็นกลุ่มพิเศษและจัดการทำความสะอาดให้เร็วที่สุด ซึ่งบางครั้งเราสามารถที่จะใช้วิธีการทำความสะอาดเฉพาะจุดเบื้องต้นก่อนได้ จากนั้นจึงค่อยทำความสะอาดรวมกับเสื้อผ้าชนิดอื่นๆ
กลุ่มชุุดเด็กที่มีโอกาสสีตก
อีกกลุ่มที่เราควรแยกออกมาเลยคือกลุ่มผ้าสี โดยการแยกนั้นเหมือนกับการแยกผ้าซักทั่วไปนั่นคือ แยกผ้าขาว ผ้าสี และ ผ้าที่มีโอกาสสีตกออกจากกัน จากนั้นจึงเริ่มซักตามปกติ เหตุผลที่ต้องแยกนั้นค่อนข้างตรงตัว โดยปกติการซักผ้าสีและผ้าขาวรวมกันนั้นไม่ควรทำอยู่แล้วเพราะอาจจะทำให้ผ้าขาวนั ้นหมองไวกว่าที่ควรจะเป็น ยิ่งถ้าหากหนึ่งในผ้าสีนั้นสีตกด้วยก็บอกลาชุดเด็กสีสันสดใสไปได้เลย
กลุ่ม Accessory : เสื้อผ้าเด็กชิ้นเล็กๆ เช่น ถุงเท้า ถุงมือ หมวก
และกลุ่มสุดท้ายที่ควรแยกก็คือกลุ่ม เสื้อผ้าและเครื่องประดับเสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หมวก ถุงเท้า ผ้าห่อตัว หรือชุดคลุม โดยสาเหตุที่ควรแยกซักเพราะเสื้อผ้ากลุ่มนี้อาจจะมีลูกเล่นอื่นๆ เช่น ซิป ลูกไม้ หรือการตกแต่งอื่นๆ ที่อาจจะไปเกี่ยวกับผ้าชิ้นอื่นๆ ทำให้ชุดเด็กๆ เกิดการเสียหายได้ จึงควรที่จะแยกซักเสื้อผ้ากลุ่มนี้
เลือกน้ำยาซักผ้าอ่อนโยนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ
นอกเหนือจากการแยกกลุ่มซักแล้ว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กสูตรอ่อนโยนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยถนอมชุดเด็กให้ใส่ได้นานขึ้นเช่นกัน เนื่องจากคุณสมบัติเด่นของน้ำยาซักผ้าเด็กทั้ง 3 ข้อต่อไปนี้
1. ฟองน้อย แต่ขจัดคราบหนัก - การที่น้ำยาซักผ้าเด็กมีฟองน้อย จะทำให้ล้างทำความสะอาดได้ง่าย ทั้งยังทิ้งสารตกค้างน้อย และหากเป็นน้ำยาซักผ้าเด็กที่ฟองน้อย แต่ช่วยขจัดคราบหนักได้อย่างดีเยี่ยม ก็จะยิ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องซักและขยี้ผ้าแรงๆ เพื่อให้คราบหนักสลายไป จึงช่วยลดโอกาสที่ใยผ้าจะถูกทำลายลงได้อีก
2. สารทำความสะอาดต้นกำเนิดจากธรรมชาติ - การใช้สารทำความสะอาดจากธรรมชาติย่อมดีกว่าการใช้สารเคมีที่รุนแรงเพื่อการซักผ้าอยู่แล้ว เนื่องจากสารธรรมชาติมีความอ่อนโยนสูง ช่วยถนอมใยผ้าได้ดีกว่า ทั้งยองปลอดภัยต่อลูกน้อยมากกว่าอีกด้วย
3. ไม่ใส่สารฟอกขาว หรือใส่สีสังเคราะห์ - การใช้สารเติมแต่งในน้ำยาซักผ้าอย่างสารฟอกขาว อาจทำให้ชุดเด็กที่มีสีสันสดใสเกิดการเปลี่ยนสี หรือซีดจางได้ น้ำยาซักผ้าเด็กที่ไม่ใส่สารเหล่านี้ จึงเหมาะสมสำหรับชุดเด็กที่น่ารักของลูกมากกว่า
ทำความสะอาดเบื้องต้น
หลังจากที่เราได้ทำการแยกกลุ่มเสื้อผ้าชุดเด็ก และ เลือกผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กที่เหมาะสมแล้ว ก็เหลือเพียงขั้นตอนการทำความสะอาดที่จะช่วยถนอมเสื้อผ้าให้อยู่กับเราไปนานๆ โดยยังคงสีสันสดใสไม่ซีดจาง ตามขั้นตอนดังนี้
Step 1 : ล้าง-ขยี้จุดที่มีคราบเลอะหนักๆ ทันที
อย่างที่ได้กล่าวไปเบื้องต้นว่า หากมีคราบเลอะใดๆ เราควรที่จะทำความสะอาดคราบเหล่านั้นโดยเร็ว ด้วยการใช้ น้ำยาซักผ้ามาป้ายคราบและทำการขยี้เฉพาะจุด และ แช่ผ้าไว้ 10 - 15 น าทีก่อนเริ่มซักเพื่อป้องการการฝังตัวของคราบสกปรก
Step 2 : แช่ผ้าด้วยน้ำเย็น
ในกรณีที่คราบสกปรกอยู่ในกลุ่มของโปรตีน เช่น คราบนม ไข่ หรือซอสปรุงรสต่างๆ เราควรใช้น้ำเย็นในการซัก-แช่ผ้า นอกจากนี้น้ำเย็นยังถนอมผ้าได้ดีกว่าน้ำร้อนอีกด้วย แต่ในกรณีที่เราต้องการที่จะฆ่าเชื้อโรค กำจัดไรฝุ่น หรือ ป้องกันคราบผงซักฟอง น้ำร้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
Step 3.0 : หลีกเลี่ยงน้ำยาฟอกขาว - น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ไม่ใช่สูตรเด็ก
เนื่องจากน้ำยาฟอกขาว หรือ น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ไม่ใช่สูตรเด็กนั้นอาจทิ้งสารระคายเคืองต่อผิวลูกน้อยได้ ในบางกรณีที่ลูกน้อยมีผิวบอบบางมากๆ อาจเกิดอาการแพ้ เป็นผื่นแดงหรืออักเสบได้เลยทีเดียว คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนจะดีที่สุด
Step 3.1 : ในกรณีซักมือ
หลังจากที่ได้เตรียมการแยกผ้า เลือกน้ำยาซักผ้า แ ละทำความสะอาดเฉพาะจุดและแช่ผ้าเรียบร้อยแล้ว การซักมือจะคล้ายกับการซักผ้าทั่วไปเพียงแต่ต้องเบามือลงเท่านั้น เพราะคราบหนักเราได้มีการขยี้เฉพาะจุดไปเรียบร้อยแล้วจึงไม่จำเป็นต้องขยี้หนักๆ อีก
ซักน้ำเปล่าเพิ่ม 1 - 2 รอบ
ในการซักมือเราสามารถสังเกตคราบสกปรกและฟองที่ออกมาจากเสื้อผ้าได้ชัดเจน ซึ่งในกรณีที่เราซักชุดเด็กด้วยมือเรียบร้อยแล้วเราควรล้างน้ำเปล่าเพิ่ม 1 - 2 รอบเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำยาซักผ้าจะไม่ตกค้างอยู่ที่เสื้อผ้า อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่สบายตัว คัน และเกิดผื่นแดง
Step 3.2 : ในกรณีซักเครื่อง
ในกรณีที่ใช้เครื่องซักผ้า เพียงแค่เรานำผ้าเข้าเครื่องก็ถือว่าเรียบร้อยไปแล้ว 70% แต่จะมีความแตกต่างจากการซักมืออยู่ 3 ข้อดังนี้
ทำความสะอาดเครื่อง จากฝุ่น - แมลง
เนื่องจากเครื่องซักผ้าอาจมีคราบสกปรกตกค้า งจากการซักอื่นๆ ก่อนหน้านี้ได้ คุณพ่อคุณแม่ควรทำความสะอาดตัวเครื่องเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องสะอาดและเหมาะสมกับการซักชุดเด็กที่ต้องการความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ หากไม่แน่ใจในความสะอาดแนะนำให้เปิดระบบล้างถังก่อน หลังจากระบบทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วให้ใช้ผ้าเช็ดและตรวจสอบความสะอาดอีกครั้งหนึ่ง
ใช้ตาข่ายซักผ้า
ในกรณีที่ชุดเด็กมีความบอบบาง หรือมีลูกเล่นที่อาจไปเกี่ยวกับเสื้อผ้าอื่นๆ ได้ การเลือกใช้ตาข่ายซักผ้าก็ถือเป็นหนึ่งตัวช่วยที่จะป้องกันความเสียหายของชุดที่อาจเกิดขึ้นได้
เลือกโปรแกรมการซักและปั่นแห้งที่อ่อนโยน
การใช้โปรแกรมซักผ้าแบบนี้จะเป็นการถนอมเนื้อผ้าได้ดีกว่า แต่ในทางกลับกันก็จะใช้เวลาในการซักนานกว่าด้วย
หลังจากที่เราทำการซักผ้าเสร็จเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปคือการตากและจัดเก็บชุดเด็กให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ชุดเด็กที่น่ารักของลูกก็คงสีสันความสดใสไว้ได้ดังเดิม แถมไม่มีการใช้สารที่อาจระคายเคืองผิวลูกน้อยอีกด้วย