เด็กๆ มีพัฒนาการและการเติบโตในทุกๆ วัน อาหารที่ลูกได้รับในแต่ละวันจึงต้องมีคุณค่ามากพอที่จะช่วยเสริมสร้างร่างกายและภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ ยิ่งโตขึ้นลูกก็จะยิ่งมีความต้องการสารอาหารที่มากขึ้นตามไปด้วย เราจึงรวม 5 อาหารที่ลูกจะทานให้อย่างอร่อย และเหมาะสมกับความต้องการในแต่ละช่วงวัยมาฝากคุณพ่อคุณแม่กัน
1. นมแม่
ในช่วงแรกเกิดถึง 6 เดือน สารอาหารที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับลูกคือนมแม่ ไม่จำเป็นต้องเสริมอาหารอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งสามารถให้นมแม่ได้จนถึงอายุ 1-2 ปี แต่หลังช่วง 4-6 เดือนขึ้นไป ให้เริ่มทานอาหารเสริมเพิ่มเติมเพื่อคุณค่าอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่หากคุณแม่มีความจำเป็นที่ไม่สามารถให้นมลูกได้ สามารถใช้นมผสมแทนได้เช่นกัน
2. ข้าวบด
อาหารอย่างต่อมาคือข้าวบด เริ่มแรกในช่วง 4-6 เดือน ให้เป็นข้าวบดละเอียดอาจนำมาผสมกับน้ำซุปเล็กน้อยเพื่อให้ทานง่าย โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกชนิดของข้าวได้ตามต้องการ อาจเป็นข้าวกล้อง หรือข้าวกล้องงอกก็ได้ และเมื่อลูกอายุ 7 เดือนขึ้นไป ให้ลองปรับเป็นข้าวบดหยาบฝึกการเคี้ยว และเพิ่มปริมาณขึ้นอีกเล็กน้อย
3. ผักและผลไม้บด
ผักและผลไม้บด สามารถเริ่มให้ลูกทานได้ตั้งแต่ช่วง 4-6 เดือนขึ้นไป โดยเริ่มจากผักผลไม้ที่มีความนิ่มเละและเคี้ยวง่ายก่อน จากนั้นจึงปรับความหลากหลายให้มากขึ้นตามช่วงวัยของเจ้าตัวน้อย
ผักบด
การเลือกผักสำหรับลูกนั้น ควรเลือกผักปลอดสารพิษเพื่อลดโอกาสสัมผัสสิ่งปนเปื้อนตกค้าง ระหว่างเตรียมอาหารควรแช่และล้างผักด้วยเกลือหรือเบคกิ้งโซดาก่อน เมื่อมั่นใจว่าสะอาดดีแล้ว จึงนำมาทำอาหารให้เจ้าตัวน้อยทาน
สำหรับเริ่มแรกในช่วง 4 เดือนขึ้นไป ให้ทานผักที่ต้มแล้วนิ่มเละเหมาะสำหรับการบดอย่างผักกาดขาว ฟักทอง หรือแครอทก่อน ต่อมาเมื่อเจ้าหนูอายุ 6 เดือนขึ้นไป จึงเริ่มสลับให้ทานผักหลากหลายชนิดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผักบุ้ง ตำลึง เห็ด หรือบร็อกโคลี่
ผลไม้สุกบด
ผลไม้สุกบด เริ่มให้ทานได้ช่วง 4 เดือนขึ้นไปพร้อมกับอาหารอื่นๆ อย่างข้าวบดและผักบด โด ยการเลือกจะมีวิธีคล้ายกับการเลือกผัก คือต้องมีเนื้อสุกนิ่ม ลูกสามารถเคี้ยวง่าย สามารถขูดเนื้อออกมาให้ลูกทานได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือความหวานจากผลไม้สุกที่มีรสหวานมากเกินไป หากลูกได้ทานบ่อยๆ อาจทำให้ติดรสหวานได้
ผลไม้สุกสำหรับช่วงอายุ 4-6 เดือนขึ้นไป คือกล้วยน้ำว้า มะม่วง มะละกอ หรืออาจเป็นผลไม้ที่มีเนื้อคล้ายๆ กับผลไม้เหล่านี้ ต่อมาในช่วง 7 เดือนขึ้นไป สามารถเสริมผลไม้เนื้อแข็งอย่างพวกแอปเปิ้ล หรือสาลี่ได้ แต่อย่าลืมนำไปปั่นก่อนให้ลูกทานนะ
4. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ
อาหารอย่างต่อมาที่ขาดไม่ได้ คือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่จะเป็นส่วนช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย กระตุ้นระบบภายในร่างกาย รวมถึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่เนื่องจากเนื้อสัตว์ย่อยได้ยาก จึงควรเ ริ่มให้ลูกทานในช่วง 6 เดือนขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยกันแล้วว่า เด็กอายุเท่าไหร่ควรให้ทานเนื้อสัตว์แบบไหน เรามีคำตอบมาบอกด้วยนะ
เนื้อปลา
เนื้อสัตว์ชนิดแรกๆ ที่ควรให้ลูกลองทาน เพราะเนื้อปลาอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ทั้งยังย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ในช่วงอายุ 6-8 เดือน แนะนำให้ลองนำปลาน้ำจืดอย่างปลาทูบด หรือปลาช่อนบดมาให้ลูกทานก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดการแพ้อาหารทะเลในเด็ก จากนั้นจึงให้ลองให้ทานปลาทะเลเมื่อลูกอายุประมาณ 12 เดือน
ตับบด
โปรตีนอย่างต่อมาที่ควรให้ลูกทานในช่วงอายุ 6-8 เดือนควบคู่ไปพร้อมๆ กับการเริ่มทานเนื้อปลาบด คือตับบด ที่ประกอบไปด้วยวิตามินเอและบีหลายชนิด ทั้งยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการเสริมสร้างธาตุเหล็กในร่างกาย โดยปริมาณที่ให้ลูกทาน อาจน้อยกว่าเนื้อปลา ครึ่งหนึ่ง เช่น ให้ลูกทานปลาบด 2 ช้อนโต๊ะ และให้ตับบด 1 ช้อนโต๊ะนั่นเอง คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมล้างตับให้สะอาดด้วยเกลือ แล้วหมักด้วยซีอิ๊วหรือนมเพื่อลดความคาวกันด้วยนะ ลูกจะได้ทานง่ายๆ
ไข่
ไข่ เป็นหนึ่งในอาหารที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้ลูก โดยในช่วง 6-8 เดือน คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไข่แดงบดมาสลับให้ลูกทานแทนตับบดได้ เพื่อความหลากหลายของมื้ออาหาร หลังจากนั้นจึงค่อยให้ลูกลองทานไข่ทั้งฟอง เพื่อลดโอกาสการแพ้โปรตีนจากไข่ขาวในช่วงเด็ก
เนื้อหมูและไก่
สัตว์เนื้อแดง อย่างเนื้อหมูและเนื้อไก่ เป็นเนื้อสัตว์ชนิดท้ายๆ ที่ควรให้ลูกลองทานเพราะย่อยได้ยาก ช่วงวัยที่เหมาะสมของเจ้าตัวเล็กที่จะให้ลองทานอยู่ในช่วงอายุ 8-10 เดือน ที่ระบบย่อยอาหารเริ่มเข้าที่เข้าทาง โดยให้สลับกับเนื้อสัตว์อื่นๆ ที่ได้กล่าวไปแล้ว ตามความ เหมาะสมของมื้ออาหารแต่ละวัน หรือแล้วแต่เมนูที่คุณพ่อคุณแม่อยากครีเอทได้เลย
5. น้ำซุป
น้ำซุปจากน้ำต้มผัก หรือน้ำต้มกระดูกหมู สามารถเริ่มให้ลูกทานได้ตั้งแต่ช่วง 4 เดือนขึ้นไปเพราะย่อยง่าย ทานง่าย โดยอาจนำไปผสมกับข้าวบดละเอียดในช่วงแรกๆ เมื่อลูกโตขึ้นก็สามารถให้ซดเป็นน้ำเพิ่มความคล่องคอในการทานข้าว แถมยังช่วยลดปัญหาการขาดน้ำในเด็กได้ด้วย